เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเรานี้นะ ความปรารถนาดีของคนมันก็มี แต่คนลึกตื้นหนาบางมันก็เยอะ ถ้าความลึกตื้นหนาบาง ใช่ ! งานบุญก็เป็นงานบุญ ทุกคนอยากไปทำบุญกุศล แต่หัวใจของเขามันตื้นมันลึกขนาดไหน มันตื้นมันลึกขนาดไหนมันก็คิดได้แค่นั้นแหละ แล้วแค่นั้นเราเป็นหลักไหม ถ้าเราเป็นหลัก อริยสัจอยู่ที่ไหน ความจริงอยู่ที่ไหน

วัดนี้เป็นวัดทำไม ? วัดปฏิบัติ เวลาเขาสร้างวัดปฏิบัติขึ้นมา เวลาสร้างวัดเสร็จนะ “ขอให้ภิกษุจากจตุรทิศทั้ง ๔ ทิศมาเถิด ผู้อยู่แล้วอยู่ให้สุขสบาย ผู้ยังไม่ได้มาขอให้ได้มา” เขาให้มา แต่เวลามาแล้วนะ พระภิกษุเอาของสงฆ์มาใช้ เอาเตียงเอาตั่งมาใช้ เวลาจะจากไปไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ผู้อื่นเก็บก็ดี เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ภิกษุเอามุ้งเอาหมอนมาใช้ ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่ไหว้วานใครเก็บก็ดี จากที่อยู่นั้นไปเป็นอาบัติปาจิตตีย์

ในสมัยโบราณมันจะมีนะ ภิกษุนี้ออกพรรษาถ้าไม่ธุดงค์ชาวบ้านเขาจะไล่เลย เพราะออกพรรษาแล้วเขาจะหมุนเวียน เขาจะไม่มีใครจำพรรษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าอาวาสวัดใด พระภิกษุจำพรรษาที่ไหน เขาจะหมุนเวียนกันตลอดเวลา ถ้าออกพรรษาแล้วพระไม่ออกธุดงค์นะ ชาวบ้านเขาจะถามเลยว่าทำไมไม่ออกวิเวก ทำไมไม่ค้นหาอริยสัจในตนเอง

แล้วเราก็มีกฎกติกาใช่ไหม ใครเอาของมาใช้ ใครไม่เก็บ ของเป็นครุภัณฑ์แจกไม่ได้ ของที่เป็นลหุภัณฑ์ของที่แจกได้ วินัยมันมีใช่ไหม แต่โลกเขามาไม่เป็นอย่างนั้น โลกเขามานะ เอาแต่ใจของตัว ตัวคิดอย่างไรก็คิดเป็นอย่างนั้น แล้วกฐินงานบุญ งานบุญก็งานทั่วๆไป งานบุญก็ห้างสรรพสินค้าไง วัยรุ่นไปตากแอร์กันไง มันไปเดินเล่นกันไง สิ่งที่ไปเดินเล่น แล้ววัดจะเป็นอย่างนั้นเหรอ เดี๋ยวนี้เอาวัดไปไว้ในห้างสรรพสินค้า เอาโลกเป็นใหญ่ ถ้าโลกเป็นใหญ่นะมันก็ไปกันหมด

ทีนี้ถ้าเอาธรรมเป็นใหญ่ มันสำคัญที่ว่าเรามีหลักใจหรือเปล่า ถ้าเรามีหลักใจนะ เราจะอธิบายให้เขาฟังได้ ถ้าใครมาก็แล้วแต่ เวลามาก็อธิบายให้เขาฟัง ถ้าเขาฟังแล้วนะ เออจริง ! แล้วเขาก็จะระลึกได้ แต่ ! แต่มันไม่ไหว มันพูดนี้วันหนึ่งเป็นร้อยๆ หน แล้วคนก็ซ้ำๆ ซากๆ เห็นไหม มันก็หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ

เราจะไม่ให้โลกเป็นใหญ่ เราจะบอกว่าไม่ต้องไปกลัวโลกธรรม ๘ ! ไม่ต้องไปคิดว่าเขาจะติฉินนินทา เขาจะติฉินนินทา เขาจะว่าร้าย เขาจะชื่นชมอย่างไร มันก็เรื่องของเขา เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราไม่ได้เอาตรงนั้น เราไม่ได้เอาตรงนั้นนะ งานบุญมันเป็นงานพิธีกรรม มันเป็นศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมเฉยๆ แต่พวกเรามากันทำไม ที่เรามาทุกข์มายาก อย่างพวกเรานี่เราก็รู้อยู่ เราอยากมาปฏิบัติกัน

แต่ในเมื่อเราต้องมีทาน ศีล ภาวนา ใช่ไหม เราก็เปิดโอกาสให้คน เราจะสร้างบารมีใช่ไหม เวลาถึงงานบุญเราก็จัดสถานที่ เราก็อำนวยความสะดวกให้เขาเต็มที่อยู่แล้ว เราทำของเราเต็มที่แล้ว เต็มที่ในเรื่องของข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ใช่เต็มที่แบบโลก มันจะมาแล้วมันจะมาไม่ได้ความพอใจแบบโลกเขาหรอก พอโลกเขาไป เขาจะไปอยู่โรงแรม เขาไปอยู่ที่พักอาศัย เขามีคนคอยบริการเขาใช่ไหม

แล้วมาวัดมาวาต้องบริการตัวเองใช่ไหม เพราะอะไร เพราะ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จะไปวุ่นวายให้คนอื่นเขาทุกข์ร้อนได้อย่างไร เพราะทุกคนมาก็ต้องหาความสงัดของตัว ตัวเองได้เตรียมตัวมาไหม ถ้าคนที่เขาเคยประพฤติปฏิบัติมา เขาจะสูงส่งขนาดไหน พอเข้าวัดปั๊บ เขาจะติดดิน เขาจะเอากลดของเขาไป แล้วไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เขาจะรักษาตัวเขาเอง เพราะอะไร เพราะเขามาวิเวก เขามาเพื่อเอาชนะใจตัวเขา เขาหาของเขา ถ้าคนเป็นนะ

ถ้าคนไม่เป็นนะ โทรศัพท์มาเรื่อย จะมาอย่างนั้น จะมาอย่างนั้น จะมาแล้วต้องกิน ๒ มื้อ กิน ๕ มื้อ มึงไม่เอามโหรสพสมโภชมาพร้อมเลยล่ะ มึงไม่เอามโหรีมาขับกล่อมเวลามึงนอนด้วยล่ะ ความคิดของคนเขาคิดของเขาอย่างนั้น

นี่คำว่าโลก ถ้าเรามีหลักของเราแล้ว เราไม่ต้องไปบอกว่าให้ไปที่อื่น ถ้าอย่างนั้นให้ไปที่อื่น ถ้าพูดถึงความเข้าใจ ของอย่างนี้ถ้ามันเป็นลูกศิษย์กรรมฐานนะ สัลเลขธรรม เราคุยกันเรื่องความวิเวก เราคุยกันเรื่องมรรคผลนิพพาน เราไม่คุยกันเรื่องโลก เราไม่แสวงหาการคลุกคลีกัน

แต่นี่มันเป็นความจำเป็น ถึงเวลาเป็นความความจำเป็นนะ ถึงทีหนึ่งคราวหนึ่ง ปีหนึ่งคราวหนึ่งเราก็จัดของเรา แต่มันก็ต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเรา มันมีนะ ที่มาเห็นไหม เราเห็นแล้วเรารำคาญนะ แต่พูดออกไปเขาก็น้อยใจ

เวลาจะเอาน้ำว่านหางจระเข้มาใช่ไหม ก็ต้องให้...เอาตู้แช่มา จะต้องให้เอาโฟมมา จะต้องเอาน้ำแข็งมารอรับเขาก่อน กว่าเขาจะมานะ เขาเอาน้ำว่านหางจระเข้มาโหลสองโหล วุ่นวายไปทั้งวัดเลย ! อย่างนี้กูกินน้ำเปล่าของกูดีกว่า น้ำเปล่าในแทงค์กูเปิดใส่กาแล้วกูต้ม ยังสบายใจกว่าเยอะเลย !

แต่เขาก็ไม่รู้ตัวเขานะ กว่าเขาจะมา จะเอาน้ำว่านหางจระเข้มา วุ่นวาย ! เราเห็นอย่างนี้มาหลายครั้งหลายหนจนทนไม่ไหว จนไม่ให้เอามา ไม่ให้เอามา แล้วอย่ามา ! อย่ามา ! อย่ามาเถอะ มาถึงช้างสารเหยียบหญ้าแพรก ช้างสารจะลงมาทีหญ้าแพรกแหลกลาญ จะทำบุญทีพระแหลกหมดทั้งวัดเลย มึงมาทำบุญกันทำไม? มึงมาทำไม? แล้วออกมาทำไมกัน

เราต้องรักษาตัวเรานะ เราไปสถานที่สงัดเห็นไหน ดูหลวงตาท่านเขียนซิ “วัดนี้วัดปฏิบัติ ไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่น” แล้วมาอย่าเอานิสัยโลกเข้ามา เวลาเข้าวัดมาเขี้ยวเล็บเอาทิ้งไว้ที่ประตูนั่น แล้วเข้ามาเอาธรรมะมาว่ากัน ผิดหรือถูกนี่ อาจารย์ผิดก็ว่าได้ อาจารย์นี่ผิด สอนผิด อาจารย์ก็ทำผิด อาจารย์ทำไม่ถูกต้อง พูดได้

นี่ไง ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง สิ่งที่เป็นมงคล พูดได้ ติเตียนได้ แต่เวลาพูดไปแล้วเหตุผลมันสู้เราไม่ได้ซักทีหนึ่ง

เหตุผลเวลามาถึงเสียงดัง มาจากโพธาราม มาทำบุญ ๗,๐๐๐—๘,๐๐๐บาท ไปถึงเสียงดัง เราบอกให้กลับไป “อู้ฮู้ ! กูเอาตังค์ไปให้ แต่กูจะเสียงดังไม่ได้” อันนี้ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้านะ เขาคิดของเขาอย่างนั้น คือว่ามันศรัทธาใหม่ เราเข้าใจนะ

เปลือก กระพี้ แก่น ความเป็นเปลือก เวลาเราเทศนาว่าการ เวลาครูอาจารย์ท่านมาเทศน์ที่กรุงเทพนี่ เข้ามาเพื่ออะไร เข้ามาเพื่อปลูกศรัทธา ภิกษุทำศรัทธาไทยให้ตกร่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์ อย่างคนๆ นี้มีความศรัทธามาก แล้วเราไปว่าเขาโดยไม่มีเหตุมีผล จนเขาไม่เข้าวัดเข้าวา เป็นอาบัตินะ

เหมือนปลูกศรัทธา วางพื้นฐานให้กับโลก ที่นี้พอเขามาเขาศรัทธาแล้ว ที่นี้พอเขามา เราจะยกศรัทธาให้มันละเอียดขึ้นไป มรรคหยาบ มรรคละเอียด ถ้าเรายกขึ้นได้มันก็เป็นบุญของเขา ถ้ายกขึ้นไม่ได้เขาก็อยู่แค่นั้นของเขา

แต่ถ้าพูดถึงเราเป็นคนผิด เราเป็นคนไม่มีเหตุผล เราไปว่าเขาด้วยอารมณ์ความรู้สึก เราไปว่าเขาด้วยความเล่ห์เหลี่ยม นั่นล่ะเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่เวลาเขามาแล้วเขาผิด เขามาส่งเสียงดัง ที่นี่เป็นที่วัด มันเป็นที่สงัด เป็นที่วิเวกของสถานที่

ดูสิ เราไปทางอีสาน ผู้หญิงห้ามขึ้นอาสน์สงฆ์ เขาเขียนไว้เลยว่าที่นี่ต้องการความสงัด แล้วไง เขาเขียนของเขาไว้เลย เราเคารพสถานที่ ไปวัดไปวาเราไม่ใช่เคารพเจ้าอาวาสนะ เราเคารพสถานที่ ดูทางเดินจงกรมของหลวงปู่มั่นสิ มีใครกล้าเดินข้ามบ้าง มีแต่คนศรัทธานะ

แม้แต่หมาเห็นไหม หลวงตาท่านเล่า มีหมาที่เมืองจันทร์ชื่อไอ้ช้าง อยู่ที่น้ำตกพลิ้ว หมานะมันไม่เดินข้ามทางจงกรม มันจะเดินอ้อม หมานี้มันยังรู้จักเคารพสถานที่เลย แล้วคนเข้ามา.. นี่มันวัดนะ วัดที่นี้เขาเป็นวัดเพื่อความสงบสงัดนะ เราเคารพสถานที่ไหม เคารพผู้อยู่อาศัยไหม เคารพสิทธิมนุษยชนไหม เคารพความเห็นของเขาไหม

ถ้าเราเคารพเราต้องสงบสงัด ถ้าเรามาวัดเราต้องเป็นอย่างนั้น แล้วนี้เรามาวัดกัน แล้วจะมาทำให้เป็นตลาด มันเป็นมุมมองนะ มันเป็นความเห็น คนที่ละเอียดลึกซึ้งเขาก็มองออก เขาก็รู้จัก คนที่หยาบเขาก็มองไม่ออกนะ พอมองไม่ออกนะ..

ดูสิ หลวงตาท่านก็พูดอีก หมามันคาบบ้องข้าวหลามมา เวลาคาบมันคาบขวางมาใช่ไหม ก็ขวางโลกไปหมดเลย นี่ก็ความคิดกูใหญ่ไง ขวางแม่งมันไปทั่วเลย เดือดร้อนกันไปหมด เดือดร้อนเพราะความคิดกูเนี่ย ระรานเขาไปทั่ว !

เห็นไหมนี่ศรัทธานะ เป็นความดีนะ ท่านพูดว่า หมามันคาบบ้องข้าวหลาม เพราะหมามันคาบบ้องข้าวหลามนี้มันจะคาบขวางไป มันวิ่งไป นี้ก็เหมือนกัน เราคิดว่าเราคิดถูก.. คิดถูก.. มันหยาบละเอียดนะ มันละเอียดมาก

ดูสิ กิเลสขั้นสุดท้าย เวลาจะทิ้งฐีติจิต ทิ้งของมัน อาลัยอาวรณ์นะ จิตมัธยัสถ์ ! หลวงตาท่านพูดบ่อย จิตมัธยัสถ์ จิตเป็นกลาง จิตเป็นกลางคือตัวของมันเอง แล้วทำลายมัน แต่เวลาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี นี่มันเป็นปัญญา มันเป็นมรรคญาณที่มันทำลายตัวมัน ทำลายเข้ามา

แต่ถึงที่สุดเพราะมันมีกำลังของมัน ไม่ใช่จิตมัธยัสถ์ ไม่ใช่ตัวมันทำลายตัวมันเอง ตัวมันจะทำลายสิ่งแวดล้อมเข้ามา มันจะมีกำลังของมัน มันมีละเอียดเข้าไป แล้วจิตมัธยัสถ์ จิตที่เป็นกลางใช้ปัญญาไม่ได้ การใช้ปัญญานี้มันเป็นขันธ์ มันเป็นสังขาร มันเป็นมรรคญาณ มันเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นอาวุธ มันเป็นอาวุธที่มือเราจับอาวุธ เหมือนเราทำครัว มือเราจับมีดไปทำครัว แล้วมือมันเองเอามีดเชือดเฉือนตัวมันเอง มันจะเอาอะไรทำตัวมันเอง

จิตมัธยัสถ์มันเป็นกลาง มันเป็นการยุบตัว จิตที่ยุบตัวจิตลงไปทำลายจิตของมันเอง สิ่งที่ภาวนา แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่ปัญญานะ ใช้ปัญญานี่ปัญญาเป็นอุทธัจจะ อุทธัจจะคือความฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นความฟุ้งซ่าน อุทธัจจะมันเพลินในงาน มันเพลินในการทำผลประโยชน์ มันเพลินเพลินมันเป็นมัธยัสถ์ไหม

คนที่เพลิน คนที่ใช้ปัญญาไล่ต้อนกิเลสไปมันเป็นความมัธยัสถ์ไหม เป็นตัวของมันเองไหม ไม่ใช่ใช่ไหม เพราะอะไร เพราะปัญญามันเกิดจากจิต ปัญญาจะเกิดการกระทำ แม้แต่ปัญญา โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันไม่เหมือนกันสักชิ้นหนึ่ง มันไม่เหมือนกัน แต่ละระดับมันละเอียดขึ้นไป แล้วพอจิตที่มันอรหัตตมรรค อรหัตตผล ที่มัธยัสถ์ ที่มันทำลายตัวมันเอง มันละเอียด

แล้วถ้าเราไม่ยอมละเอียด จิตเราไม่ยอมละเอียด จิตไม่มัธยัสถ์เข้ามา จิตไม่ยอมทำลายมันเอง มันจะเข้าไปถึงที่อยู่ของกิเลสได้ไหม เรื่องเวลาภาวนานะ มันยังหยาบละเอียดลึกซึ้งมาก แล้วมันจะมีอยู่หน้าเดียวไง

มาทำบุญนะ พอมาก็ โอ้โฮ.. หมาคาบบ้องข้าวหลามมาเลย ใหญ่ไปหมด ทุกคนต้องต้อนรับ ทุกคนต้องจัดการ แล้วคนเขาจะภาวนาเขามีบุญที่มากกว่า เขามีความสงบสงัด ความสุขเท่ากับความสงบไม่มี จิตสงบปลีกหาที่วิเวกอยู่ แล้วเราไปลากเขาให้ต้องมายุ่ง ลากเขาให้ต้องมาบริหารจัดการ ลากเขาให้ต้องมาต้อนรับเรา อันนี้เป็นอะไร

ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ จะบอกว่าเราเป็นวัดป่านะ เราเป็นวัดป่าที่ครูบาอาจารย์ท่านไว้เนื้อเชื่อใจนะ เราต้องมีจุดยืน เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ อย่าให้โลกเป็นใหญ่ อย่าให้เขามาเอาขอเกี่ยวจมูกแล้วลากไป อย่าให้โลกลากไป อย่าให้ลาภสักการะ อย่าให้สิ่งต่างๆ สิ่งสรรเสริญนินทา กลัวแต่เขาจะไม่เคารพศรัทธา กลัวแต่เขาจะว่าเราเป็นคนร้าย เราเป็นคนปากจัด กลัวไปหมดเลย !ไม่ใช่ปากจัด มันเป็นธรรม

เราติ เราบอกเขา เราตักเตือนเขา เราชี้ขุมทรัพย์ให้เขา ถ้าเขาไม่ยอมรับขุมทรัพย์เขา มันก็กรรมของสัตว์ใช่ไหม มันก็เรื่องของเขา เราได้ทำหน้าที่แล้ว เราได้เตือนเขาแล้ว เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเรื่องของเขา

แต่ถ้าวันไหนเขาเริ่มหัดปฏิบัติ เขาเริ่มภาวนา แล้วถ้าเขาต้องการความสงบ แล้วมีคนมารบกวนเขา คนมาทำร้ายเขาในบัลลังก์ในการนั่งสมาธิของเขา เขาจะซึ้งใจมากว่าเราเคยทำคนอื่นมา ! เขาจะซึ้งใจมาก ถ้าจิตเขาได้พัฒนาขึ้นมาเขาจะกราบ

ดูครูบาอาจารย์เราสิ ทำไมกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ เพราะจะทำอะไรก็แล้วแต่เข้าไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎก ในธรรมวินัยหมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ไปหมดแล้ว เราเข้าไปรู้ไปเห็น อู้ฮู้.. อู้ฮู้.. แต่ผู้รู้ท่านเห็นไปแล้วนะ ผู้รู้ท่านผ่านไปแล้ว เรายังไม่รู้อะไรเลย แต่พอไปรู้เข้า อู้ฮู้.. เสียดาย เสียโอกาส เสียใจมากที่ทำคนอื่นมา แล้วอู้ฮู้.. อู้ฮู้.. อยู่แล้วตอนที่มันไม่อู้ฮู้ล่ะ ตอนไม่อู้ฮู้ มันก็เป็นภาระไปทำลายเขา

เราเป็นเจ้าอาวาส เราเป็นหัวหน้า เราต้องรักษาแก่นของธรรม เราต้องรักษาจุดยืนของศาสนา เราต้องรักษาความสงบสงัด วัดป่า ใครจะมาบอกว่าวัดป่า ข้อวัตรปฏิบัติมันเพื่อหัวใจ เพื่อความสงบสงัด ใครจะมาเอาตามแต่ใจของตัวไม่ได้

ถ้าใครจะเอาแต่ตามใจของตัว ก็ไปวัดที่เขาต้อนรับสิ วัดที่ต้อนรับมีก็ไม่อยากไปอีก วัดนั้นไม่ดีอย่างนั้น วัดนี้ไม่ดีอย่างนี้ พอจะไปวัดดี ก็ทำให้วัดดีๆ นั้นให้มันเลวซะ หลวงตาท่านพูดว่า “หัวหน้าเหมือนกับรักษาสระน้ำไว้ สระน้ำนั้นมีน้ำสะอาดบริสุทธิ์ไว้ให้ประชาชนไว้ใช้สอย แล้วใครมาใครก็เอามูตรเอาคูถขึ้นมาถ่าย” อารมณ์ไง เอาความโลภ ความโกรธ ความหลงมาทำลายมัน น้ำตัวนั้นก็สกปรก แล้วใครมาก็กินไม่ได้

วัดก็เหมือนกัน วัดที่มีข้อวัตรปฏิบัติที่มีหลักมีเกณฑ์ เหมือนน้ำที่มันมีน้ำใส ที่ควรจะให้คนมาตักน้ำเป็นประโยชน์ แล้วใครมาก็มาขี้ใส่.. ขี้ใส่.. ถึงบอกว่าไม่ได้ ! ไม่เอา ! จำไว้ ห้ามขี้.. ห้ามเอาขี้มาใส่ ห้ามเอาอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมาบริหารจัดการ ไม่ได้ ! ไม่ได้ ! เพื่อรักษาน้ำไว้ให้ประชาชนเขาได้ใช้สอยบ้าง บ่อไหนจะเสียไปแล้ว สระไหนจะเสียไปแล้วเรื่องของเขา แต่สระของเรา เราต้องบำรุงรักษา เราต้องดูแลของเรา จำไว้ !

มีจุดยืนหน่อย อย่าอ่อนแอ อย่าคล้อยตามเขา ต้องจำคำนี้ไว้นะ ! ว่าความเห็นของเขาเป็นโลก แล้วความเห็นของธรรม ธรรมะ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อวัตรปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย แล้วแสวงหาสิ่งนี้มา แล้ววางไว้ให้เราก้าวเดิน แล้วเราจะกล้าทำลายกันหรือ

เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อธรรมวินัย ใครจะโทรศัพท์มา เขาจะติฉินนินทา เขาจะไม่พอใจ ช่างเขา ! จำไว้นะ คาถาคำนี้ต้องจำไว้ให้แม่น “ไม่ได้ ! ไม่เอา ! ไม่ได้ ! ไม่เอา !” อันนี้เป็นจุดยืนของเรา แล้วเราหาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราบิณฑบาตฉัน พวกโยมก็อาศัยกินข้าวก้นบาตร ไม่อดตายหรอก ! มีกินมีใช้ แค่ดำรงชีวิตไปเท่านั้นเอง

แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ ใจเราร่มเย็นเป็นสุข เราจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ แล้วเราไม่กราบโลก เราไม่เอาโลกเป็นใหญ่ เราจะเอาธรรมวินัยเป็นใหญ่ แล้วเราจะเป็นลูกศิษย์ตถาคต ศากยบุตรพุทธชินรส

เป็นศากยบุตรนะ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ขอให้เป็นลูกแท้ๆ เถอะ อย่าเป็นลูกเลี้ยง ลูกกาฝาก ลูกที่ไม่เคารพกตัญญูธรรมวินัย ไม่เคารพพ่อแม่ ไม่เคารพศาสดาของเรา แล้วไปเคารพพวกโลก พวกเปรต พวกผี เขาจะชักนำให้เราไปตามเขา จำคำนี้ไว้ให้ดีนะ ไม่ต้องไปฟังใคร ไม่ต้องไปยุ่งกับใคร เอาจุดยืนนี้ให้ได้ เอวัง